เรียบเรียงโดย อิบนุมะฮฺดี
ศาสนาอิสลามถือว่าการหาความรู้เป็นภารกิจที่พิเศษยิ่ง โดยเฉพาะการหาความรู้ที่อัลลอฮฺ ทรงประทานลงมาให้แก่ร่อซูลของพระองค์ ถือว่าเป็นการงานที่มีความประเสริฐยิ่ง ถือเป็นอิบาดะฮฺที่สูงส่ง และเป็นแขนงหนึ่งของการทำญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ อีกด้วย และสำหรับมนุษย์จำเป็นที่จะต้องขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺ ให้พระองค์ได้ทรงประทานความรู้ให้ ดังที่อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า
وَقُلْ رَبِّ زِدْنِي عِلْمًا
“และจงกล่าวเถิดว่า โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน โปรดเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ฉันด้วยเถิด” (ฏอฮา 114)
- การศึกษาหาความรู้มีความประเสริฐอย่างยิ่งโดยเฉพาะการศึกษาศาสนา อิสลามได้ทรงยกย่องบรรดาผู้ศึกษาเล่าเรียนอัลกุรอาน และผู้ที่สอนอัลกุอาน ว่าเป็นบุคคลที่มีความประเสริฐที่สุด ท่านนบี ได้กล่าวว่า
خَيْرُكُمْ مَنْ تَعَلَّمَ القُرْآنَ وَعَلَّمَهُ أخرجه البخاري
“ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านคือผู้ที่ศึกษาอัลกุรอานและสอนอัลกุรอาน” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ )
และสถานะอันสูงส่งของผู้ศึกษาหาความรู้อัลกุรอ่านไม่ว่าจะเป็นผู้อ่าน ผู้ศึกษาเรียนรู้ และผู้สอน และอีกนัยหนึ่งคือท่านนบีได้บอกถึงตำแหน่งหน้าที่การงานที่ประเสริฐที่สุดนั้นมิใช่ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ได้รับเงินเดือนมากที่สุด หรือมีอำนาจมากที่สุด แต่ตำแหน่งที่ได้รับการยกย่องจากอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์มากที่สุดคือผู้ศึกษาและผู้ที่สอนความรู้ในเรื่องราวของอัลกุรอาน หรือเรื่องหลักการของศาสนา
ในสังคมปัจจุบันเรามักจะให้ความสำคัญแก่บรรดาครูผู้สอนอัลกุอานน้อยกว่าหน้าที่ทางราชการหรือตำแหน่งนักธุรกิจหรือพนักงานบริษัทที่มีเงินเดือนมากมาย เห็นได้อย่างชัดเจนว่าในสังคมมักมองครูสอนอัลกุรอานว่าต้องเป็นบุคคลที่มีฐานะไม่ค่อยดีนักและจะถูกให้ความสำคัญน้อยจากบรรดาผู้คนในสังคม สังคมที่เป็นอยู่จึงเป็นสังคมที่ขาดแคลนความรู้และศรัทธาที่ถูกต้อง บรรดาดาเยาวชนบุตรหลานจึงถูกสิ่งสิ่งชั่วร้ายดังเช่น ยาเสพติด ชักจูงไปอย่างง่ายดาย
“ ท่านนบีได้วางรากฐานสังคมแห่งความรู้ ที่ต้องให้ความสำคัญแก่บรรดาครู และนักเรียน โดยเฉพาะในเรื่องอัลกุรอานและหลักการทางศาสนา เพื่อให้บุคลากรในสังคมที่ถูกขัดเกลาด้วยอัลกุรอานได้ออกมารับใช้สังคม เพื่อเป็นสังคมแห่งความรู้ ความศรัทธา และความสันติสุข ”
- การได้รับความรู้ในเรื่องศาสนานั้นถือว่าเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่จากอัลลอฮฺ ที่มีต่อผู้ที่พระองค์ทรงรักและทรงประสงค์ที่จะให้เขาได้รับความดีจากพระองค์ ท่านนบี ได้กล่าวว่า
مَنْ يُرِدِ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا يُفَقِّهْهُ فِي الدِّينِ متفق عليه
"เมื่ออัลลอฮฺทรงประสงค์ให้บ่าวคนหนึ่งได้รับความดีงาม พระองค์จะให้เขามีความเข้าใจในศาสนา" (บันทึกโดยบุคอรีย์ มุสลิม)
- การศึกษาหาความรู้เป็นสาเหตุที่นำไปสู่ความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ เพราะยิ่งศึกษาหาความรู้มากก็จะมีอีหม่านมากขึ้นทำให้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ มากขึ้น ทำให้รู้ถึงบทบัญญัติ คำสั่งใช้และคำสั่งห้ามต่างๆ และผู้ที่มีความรู้นั้นย่อมเป็นคนที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ซึ่งอัลลอฮฺได้ทรงยกย่องพวกเขา เนื่องจากการศึกษาหาความรู้ของเขาทำให้เขาเป็นผู้ภักดีต่ออัลลอฮฺ และเป็นผู้ที่ยำเกรง เกรงกลัวต่อพระองค์ ดังที่พระองค์ ทรงตรัสว่า
إِنَّمَا يَخْشَى اللَّهَ مِنْ عِبَادِهِ الْعُلَمَاءُ
“แท้จริงบรรดาผู้มีความรู้จากปวงบ่าวของพระองค์เท่านั้นที่มีความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ” ( ฟาฏิร 28 )
ท่านชัยคุ้ลอิสลาม อิบนิตัยมียะฮฺ ได้กล่าวว่า “ในอายะฮฺนี้ได้ชี้ว่าผู้ที่ยำเกรง เกรงกลัวอัลลอฮฺนั้นคือผู้ที่มีความรู้ ซึ่งพวกเขาคือผู้ที่มีความเกรงกลัวอัลลอฮฺอย่างแท้จริง แต่มิได้หมายความว่าผู้รู้ทุกคนจะเป็นผู้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ” (مجوع الفتاوى )
ในอายะฮฺนี้ได้บอกถึงบุคคลทั่วไปว่าการได้มาซึ่งความยำเกรงนั้น จะต้องศึกษาหาความรู้ และอายะฮฺนี้ก็เป็นย้ำเตือนบรรดาผู้รู้และผู้แสวงหาความรู้ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ อย่างแท้จริง
- การศึกษาหาความรู้ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความง่ายดายในการเข้าสู่สวนสวรรค์ เหตุเพราะผู้ที่ศึกษาหาความรู้ได้ทุ่มเทชีวิตของเขาอยู่บนหนทางแห่งการศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของศาสนา ดังที่ท่านนบี ได้กล่าวว่า
مَنْ سَلَكَ طَرِيقًا يَلْتَمِسُ فِيهِ عِلْمًا سَهَّلَ اللَّهُ لَهُ طَرِيقًا إِلَى الْجَنَّةِ رواه مسلم
“ใครก็ตามที่ได้ออกไปบนหนทางการแสวงหาความรู้ อัลลอฮฺจะทรงทำให้ง่ายดายแก่เขาซึ่งหนทางไปสู่สวรรค์” (รายงานโดยมุสลิม)
หะดีษบทนี้ท่านนบีได้บอกถึงผู้ที่แสวงหาความรู้ อัลลอฮฺจะให้เขาเข้าสวรรค์อย่างง่ายดายนั้น หมายความว่า อัลลอฮฺ จะให้เขาได้รับทางนำและความสำเร็จในการไปสู่สวรรค์อย่างง่ายดาย ด้วยความรู้ที่เขาแสวงหาทำให้เขาเข้าใจถึงหนทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและอีกหะดีษนึง ท่านนบี ได้กล่าวว่า
مَنْ خرجَ في طلَبِ العِلمِ ، فهوَ في سبيلِ اللهِ حتى يرجِعَ رواه الترمذي
“ใครก็ตามที่ออกไปแสวงหาความรู้ เขาจะอยู่ในหนทางของอัลลอฮฺ จนกว่าเขาจะกลับ” (รายงานโดย อัตติรมิซีย์)
- บรรดาผู้แสวงหาความรู้ มีตำแหน่งและหน้าที่เป็นผู้รับมรดกจากบรรดานบีและบรรดาร่อซูล เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ศึกษาหาความรู้ก็เท่ากับว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดมรดกอันล้ำค่าของบรรดานบีและร่อซูล
ดังหะดีษของท่านนบี ที่ท่านได้กล่าวว่า
فَضْلُ الْعَالِمِ عَلَى الْعَابِدِ كَفَضْلِ الْقَمَرِ لَيْلَةَ الْبَدْرِ عَلَى سَائِرِ الْكَوَاكِبِ، وَإِنَّ الْعُلَمَاءَ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ،وَإِنَّ الأَنْبِيَاءَ لَمْ يُوَرِّثُوْا دِيْنَارًا
وَلاَ دِرْهَمًا، وَلَكِنْ وَرَّثُوْا الْعِلْمَ، فَمَنْ أَخَذَهُ أَخَذَ بِحَظٍّ وَافِرٍ رواه أبوداود
وَلاَ دِرْهَمًا، وَلَكِنْ وَرَّثُوْا الْعِلْمَ، فَمَنْ أَخَذَهُ أَخَذَ بِحَظٍّ وَافِرٍ رواه أبوداود
“ความประเสริฐของผู้รู้ที่โดดเด่นเหนือผู้ปฏิบัติอิบาดะฮฺเปรียบเสมือนความประเสริฐของดวงจันทร์ในคืนจันทร์เพ็ญที่โดดเด่นเหนือดาวดวงอื่นๆ และแท้จริงบรรดาอุละมาอฺคือทายาทผู้รับมรดกจากบรรดานบี และแท้จริงบรรดานบีไม่ได้ทิ้งมรดกแม้แต่หนึ่งดีนารหรือหนึ่งดิรฮัม แต่ทว่าพวกเขาได้ทิ้งมรดกแห่งความรู้ ดังนั้นผู้ใดรับมรดกแห่งความรู้ (จากพวกเขา)แท้จริงเขาได้รับเอาส่วนแบ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์” (รายงานโดยอบูดาวูด )
يَرْفَعِ اللَّهُ الَّذِينَ آمَنُوا مِنكُمْ وَالَّذِينَ أُوتُوا الْعِلْمَ دَرَجَاتٍ وَاللَّهُ بِمَا تَعْمَلُونَ خَبِيرٌ
“อัลลอฮฺทรงยกฐานะของบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ที่มีความรู้ทั้งหลายในหลายระดับ และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ” ( อัลมุญาดะละฮฺ 11 )
อัลลอฮฺ ยังเรียกร้องให้ศึกษาหาความรู้และออกห่างจากความไม่รู้ เพราะความรู้คือแสงสว่างที่จะมากำจัดความโง่เขลาที่มืดมนออกไป โดยอัลลอฮฺ ทรงบอกถึงสถานะของผู้มีความรู้ว่าย่อมดีกว่าผู้ไม่มีความรู้ อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า
قُلْ هَلْ يَسْتَوِي الَّذِينَ يَعْلَمُونَ وَالَّذِينَ لَا يَعْلَمُونَ
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) บรรดาผู้มีความรู้กับบรรดาผู้ไม่มีความรู้จะเท่าเทียมกันหรือ?” (อัซซุมัร 9)
أَفَمَن يَعْلَمُ أَنَّمَا أُنزِلَ إِلَيْكَ مِن رَّبِّكَ الْحَقُّ كَمَنْ هُوَ أَعْمَىٰ إِنَّمَا يَتَذَكَّرُ أُولُو الْأَلْبَابِ
“ดังนั้น ผู้ที่รู้ว่าแท้จริงสิ่งที่ถูกประทานแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นความจริง จะเหมือนกับผู้ที่ตาบอดกระนั้นหรือ? แท้จริงบรรดาผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่จะใคร่ครวญ” (อัรเราะอฺดุ 19 )
เปรียบสถานะของผู้ที่มีความรู้และผู้ไม่มีความรู้
เสมือนคนเป็น กับคนตาย ( الحي والميت )
เสมือนคนได้ยิน กับคนหูหนวก (السميع والأصم )
เสมือนคนมองเห็น กับคนตาบอด ( البصير و الأعمى )
إِذَا مَاتَ الإِنْسَانُ انْقَطَعَ عَمَلُهُ إِلا مِنْ ثَلاثٍ : صَدَقَةٍ جَارِيَةٍ ، أَوْ عِلْمٍ يُنْتَفَعُ بِهِ ، أَوْ وَلَدٍ صَالِحٍ يَدْعُو لَهُ . أَخْرَجَهُ مُسْلِمٌ
“เมื่อมนุษย์เสียชีวิตลง การงานของเขาจะถูกตัดขาด นอกจาก สามประการ คือ ศอดะเกาะฮฺที่ได้ผลบุญต่อเนื่อง หรือ ความรู้ที่มีประโยชน์ หรือ ลูกที่ดีขอดุอาอฺให้เขา” (บันทึกโดยมุสลิม)
อิสลามยังได้บอกถึงความประเสริฐของการหาความรู้ไว้อีกมากมาย อันเป็นสถานะตำแหน่งที่ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความรัก และการใกล้ชิดจากอัลลอฮฺ ที่บรรดาผู้ศรัทธาสมควรอย่างยิ่งที่จะแสวงหาสถานะอันสูงส่งนี้ ถือเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดสำหรับผู้ศรัทธา ดังคำพูดของชาวสะลัฟที่ว่า
خَيْرُ الْمَوَاهِبِ الْعَقْلُ ، وَشَرُّ الْمَصَائِبِ الْجَهْلُ
“ของขวัญที่ล้ำค่ำที่สุดคือสติปัญญา และภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดคือความโง่เขลา”
رَبِّ هَبْ لِي حُكْمًا وَأَلْحِقْنِي بِالصَّالِحِينَ
“ข้าแต่พระเจ้าของฉัน! ขอพระองค์ทรงประทานความรู้แก่ฉันและทรงให้ฉันอยู่ร่วมกับบรรดาคนดีทั้งหลาย” (อัช-ชุอะรออฺ 83 )
وَاجْعَل لِّي لِسَانَ صِدْقٍ فِي الْآخِرِينَ
“และทรงทำให้ฉันได้รับการรำลึกอย่างดีในหมู่ชนรุ่นต่อไป” (อัช-ชุอะรออฺ 84 )
وَاجْعَلْنِي مِن وَرَثَةِ جَنَّةِ النَّعِيمِ
“และทรงทำให้ฉันอยู่ในหมู่ผู้รับมรดกแห่งสวนสวรรค์ อันรื่นรมด้วยเถิด” (อัช-ชุอะรออฺ 85 )
والله أعلم
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น